
ภาษาไทยเป็นทั้งวัฒนธรรม และความภาคภูมิใจของคนไทย แต่ปัจจุบันคนไทยจำนวนไม่น้อย ไม่รู้ว่าพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ในภาษาไทยมีกี่รูป กี่เสียง และยังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ยังพูดภาษาไทยผิดบ้าง เขียนผิดบ้าง หรืออ่านผิด บ้างก็รวบรัดตัดตอนคำให้สั้นลง เพื่อความสะดวกจนเกิดปัญหาการสื่อสารและเข้าใจความหมายของภาษาในทางที่ผิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจทำให้เสน่ห์ของภาษาไทยลดลงไป

แม้ปัญหาการใช้ภาษาไทยได้เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานหลายสิบปี
แต่ในยุคปัจจุบันนี้ปัญหายิ่งวิกฤติความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งมีปัจจัยหนุนนำที่สำคัญนั่นคือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็ว เราจึงพบการใช้ภาษาไทยแบบผิด ๆ มากมายจนเกือบจะกลายเป็นความคุ้นชิน
โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ยิ่งน่าเป็นห่วงมากที่สุดเป็นกลุ่มที่นิยมใช้ภาษาที่มีวิวัฒนาการทางภาษาที่เฉพาะกลุ่มซึ่งเป็นภาษาที่เกือบจะไม่มีไวยากรณ์ ไม่ว่าจะจากการรับส่งข้อความสั้น (SMS) การสนทนาออนไลน์ (Line)
หรือแม้แต่การแสดงความคิดเห็นในโลกอินเทอร์เน็ต (Facebook)

นอกจากนี้ยังมีคำอีกมากมายที่ถูกบัญญัติขึ้นโดยกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นวัยรุ่น และนับวันยิ่งขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้หากทุกภาคส่วนในสังคมยังคงนิ่งเฉยไม่เร่งรีบหาทางแก้ไข และยังคงมีการใช้บ่อย ๆ ก็จะทำให้เกิดความเคยชิน อีกทั้งมีการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันจนในที่สุดก็จะกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งน่าหวั่นเกรงยิ่งนักว่าในอนาคตปัญหาวิกฤตภาษาไทยก็จะยิ่งยากเกินการ เยียวยาแก้ไข
“ภาษาวัยรุ่น”ถึงเวลาก็ล้าสมัยไปเอง
โดยเรื่องนี้ “คุณสุดใจ พรหมเกิด” ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน อธิบายว่า ภาษา ที่มีการบัญญัติคำศัพท์ใหม่ๆ ขึ้นมาใช้ในการสื่อสารเฉพาะในกลุ่ม หรือสังคมนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรและไม่ควรวิตกกังวลเกินไป เพราะเป็นเพียงวิวัฒนาการของภาษาที่เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ โดยจะนิยมพูดกันช่วงเวลาสั้นๆ ตามกระแสเท่านั้น เช่นคำว่า จ๊าบ, เจ๋ง, โดน เป็นต้น เมื่อเวลาเลยผ่านไปคำศัพท์ยอดฮิตเหล่านี้ก็จะล้าสมัยไปเอง

“แบบเรียน หนังสือก็มีผลต่อการเรียนรู้ภาษาไทยเช่นกัน ดังน้ันเราต้องทำให้กระบวนการเรียนการสอนของไทยก้าวไปสู่ศตวรรตที่ 21 อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการทำให้เด็กเกิดความใฝ่รู้ อยากเรียนรู้ด้วยตัวเอง ต้องไม่ใช่การบังคับหรือยัดเยียด แต่ต้องเป็นการอ่านหนังสืออย่างมีความสุข การทำให้การอ่านเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตของเด็กในทุกช่วงวัย โดยอาจจะเริ่มจากสมุดภาพ แล้วค่อยๆพัฒนาเป็นการอ่านวรรณกรรมที่มีเนื้อหามากขึ้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้เด็กตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทยได้ด้วยตัวเอง” ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน กล่าว
เผย“ไลน์-เฟซบุ๊ค”ทำภาษาไทยเพี้ยน
ขณะที่ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ได้สำรวจความคิดเห็นในหัวข้อ “ภาษาไทยบนสังคมออนไลน์ของคนรุ่นใหม่” พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 84.7 เห็นว่าการใช้ภาษาไทยในปัจจุบันเข้าขั้นวิกฤติและควรช่วยรณรงค์อย่างจริงจัง ส่วนผู้ที่มีอิทธิพลต่อการใช้ภาษาไทยในปัจจุบันมากที่สุด คือ ดารา นักร้อง ร้อยละ 36.0 รองลงมาร้อยละ 33.3 คือ สื่อมวลชนนักข่าว และร้อยละ 19.2 คือครู อาจารย์ ส่วนร้อยละ 38.8 ให้เหตุผลที่มักนิยมใช้ภาษาไทยผิดเพี้ยนไปในสังคมออนไลน์ ว่าใช้ตามๆ กันจะได้เกาะกระแส รองลงมาร้อยละ 32.4 ให้เหตุผลว่า สะกดง่าย สั้น และสื่อสารได้เร็ว และร้อยละ 26.9 ให้เหตุผลว่าเป็นคำที่ใช้แล้วรู้สึกขำและคลายเครียดได้
การใช้ภาษาตามสมัยนิยมของวัยรุ่น เพียงเพราะดูเป็นคำที่น่ารักและยังช่วยให้พิมพ์ง่ายขึ้น โดยที่ไม่คำนึงถึงสิ่งที่จะตามมา นั่นคือการทำลายภาษาไทยทางอ้อม กลายเป็นสิ่งที่จะนำพาความวิบัติมาสู่วงการภาษาไทย ดังนั้นเราควรตระหนัก ถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติ ให้มีความถูกต้องงดงามคงอยู่คู่สังคมไทยตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น